- สมัครสมาชิกเมื่อ
- 2011-10-14
- เข้าสู่ระบบล่าสุด
- 2020-3-2
- สิทธิ์ในการอ่าน
- 200
- เครดิต
- 4462
- สำคัญ
- 1
- โพสต์
- 198
|
เตรียมตัวก่อนวันกียามะห์
วันสิ้นโลก (วันกียามะห์)
“ไม่มีบุคคลใดรู้ในสิ่งที่อยู่ในวันพรุ่งนี้เว้นแต่พระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั่น”
มุสลิมต้องศรัทธาต่อวันอวสานของโลกนี้แต่ไม่มีผู้ใดทราบถึงกำหนดการของวันนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไรนอกจากอัลลอฮ์ตลอดจนศรัทธาต่อสัญญาณต่างๆที่ท่านนบีได้บอกในหะดีษ อัลลอฮ์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า “ พวกเขาจะถามเจ้าถึงวันอวสาน(วันกียามะฮ) นั้นว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉันเท่านั้นไม่มีใครจะเผยมันให้ทราบสำหรับเวลาของมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น มันหนักอึ้ง อยุ่ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน มันจะไม่มายังพวกเจ้า นอกจากโดยกะทันหัน พวกเขาถามเจ้ากันประหนึ่งว่า เจ้านั้นเป็นผู้ที่รู้ในเรื่องนั้นดี จงกล่าวเถิดแท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่อัลลอฮเท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้ ” (อัล-อะอรอฟ 187)
ฟังเสียงออนไลน์
http://www.thaimuslim.com/ratio_more.php?file_id=20090130.mp3&title_id=%CA%D1%AD%AD%D2%B3%E3%CB%AD%E8%A2%CD%A7%C7%D1%B9%A1%D5%C2%D2%C1%D0%CB%EC
วันกิยามะห์เกิดขึ้นเมื่อใด
วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا
ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)
สัญญาณวันกิยามะห์(วันสิ้นโลก)
ท่านเชค อาลี อาลี มุฮำหมัด ได้กล่าวถึง สัญญาณวันกิยามะห์(วันสิ้นโลก)ไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า " อัชร็อต อัซซาอะห์ " ดังต่อไปนี้
สัญญาณเล็ก ได้แก่:
1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
2. ลมพายุจะรุนแรง
3. ความตายจะดาษดื่น(จากโรคร้าย) และความตายโดยฉับพลัน
4. มนุษย์จะแข่งกันประดับประดา มัสยิด
5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจกลับถูกบิดพลิ้ว
7. การผิดประเวณี(ซีนา)จะเกิดขึ้นอย่างมากมาย
8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
9. ในมัสยิด จะมีเสียงอึกทึก
10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
11. ความวุ่นวายจะเกิดทุกหัวระแหง
12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
13. อุตริกรรม(บิดอะห์)จะปรากฏชัด
14. ความอายจะน้อยลง
15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือสตรี
16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
17. ผู้ทุจริตจะได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
18. ผู้คนจะอ่านอัลกรุอานอย่างไพเราะ (ขาดการปฏิบัติตาม)
19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺจะมีมาก
21. การหย่าร้างจะเกิดขึ้นมาก
22. ความชั่วช้าเลวทรามจะปรากฏชัด
23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์ กิเลสและตัณหา
24. บุรุษจะถูกทำลายเพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
25. มนุษย์จะตัดญาติขาดมิตร
26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
27. ประชาชาติจะแตกแยกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งปีหนึ่งเหมือนหนึ่งเดือน และเดือนหนึ่ง เหมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
29. การแต่งงานมีขึ้นเพราะสมบัติเป็นเหตุ
30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
31. การตลาดจะฝืดเคือง
32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
33. ความรับผิดชอบจะหายไป
34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก(ดุนยา)
35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
36. ทานบังคับ(ซะกาต)ถูกนำมาจ่ายเป็นค่าแรง
37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม(บนมิมบัร)
39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
43. ความบริสุทธิ์ใจจะหายไปจากการงาน
44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
45. การพนันจะมีมาก
46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น(ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรกและหันเหออกจากการภักดีต่ออัลลอฮฺ
สัญญาณใหญ่ ได้แก่
1. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
2. อิหม่ามมะห์ดีจะปรากฏตัว
3. ดัจญาลเผยโฉม
4. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกนี้อีกครั้งหนึ่ง
5. ยะอฺญูดและมะอฺญูด จะพังกำแพงทะลุออกมาได้
6. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
7. มีหมอกเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ. สถานชุมนุม
9. อัลกรุอาน และความรู้จะถูกเก็บ(โดยการล้มตายของผู้รู้)
10. อัลกะอฺบะฮฺพังทลาย
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่
หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ
แบ่งออกเป็นสามประเภท
1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ
จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ...
ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)
2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว
จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า
أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ
ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)
3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก
สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : مَا تَذَاكَرُونَ؟ قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)
1. การปรากฏตัวของดัจญาล
ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด
จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ
ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)
ฟิตนะฮฺของดัจญาล
การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์
- ลักษณะของดัจญาล
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ
ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)
- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว
จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า
... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً
ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)
- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้
จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ
ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)
จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า
وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصىْ
ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)
- สาวกของดัจญาล
สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ
ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)
- การป้องการภัยจากดัจญาล
ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ
مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ
ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”
وفي لفظ : فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ
อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม
2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม
หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน
จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا (النساء/159)
ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..
وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا
ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)
(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)
3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์
ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย
1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ
ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)
2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า
إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ
ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)
3. หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย
4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ
การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น
7. ควันไฟ
فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ
ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ
ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)
8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้
يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ
ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)
จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า
إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً
ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)
9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)
การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ
ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)
จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ
ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)
10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์
ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม
ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا
ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)
จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า
أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ
ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)
สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้
1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً
ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)
2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)
3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA
ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน
การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถาม.? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก
โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล คำถาม.? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ
"ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศ >>>แต่ทะว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด
บทความ : BeverNetwork
ในศาสนาอิสลาม ได้ถูกกล่าวไว้แล้วเมื่อ 1400 กว่าปีที่แล้ว เกี่ยวกับสัญญาณวันสิ้นโลก (วันกิยามัต) มีทั้งสัญญาณเล็ก เช่น การผิดประเวณี การดื่มสุรา จะกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นต้น และหนึ่งในสัญญาณใหญ่ก็คือ "ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก" เป็นต้น แต่ผมคิดว่าคงไม่ได้เกิดภายในอีก 5 ปีนี้อย่างที่ NASA ค้นพบมา แต่ที่แน่นอนมันต้องเกิดขึ้น ความหายนะและความวุ่นวายในโลกใบนี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเช่นกัน พิสูจน์ได้ครับเพราะในคำสอนของศาสนาอิสลาม ตลอดอดีต 1400 กว่าปี ยังไม่เคยมีเรื่องไหนที่ผิดพลาดเลยสักเรื่อง บางเรื่องที่เป็นข้อสงสัยที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ได้แต่เฝ้ารอว่าจะผิดพลาด พอพิสูจน์มาได้แล้วเป็นความจริง ก็เงียบซะงั้น ไม่บอกให้ชาวโลกรู้ เพราะกลัวอิสลามจะแพร่ขยาย จริงหรือไม่ครับ NASA พวกท่านนั่นแหละที่รู้ดี
จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้น
มนุษย์ปิดหัวใจเข้าออกจากความจริงด้วยการยึกมั่นในวิทยาศาสตร์
ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)มนุษย์มีหน้าที่ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์
อัลลอฮฺฮุอักบัร (อัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่)
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลเลาะฮ์ เท่านั้น และไม่มีหลักฐาน ใด หรือศาสนาใด ที่ประจักร์ เที่ยงแท้เท่ากับศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนา ที่พระองค์รัก ที่สุด และ ไม่มีความดีใดเท่ากับ ความดี ในการพยายามกลับตัว และต่อสู่กับความชั่วร้าย กับ ความต้องการของตัวเอง และ ชัยตอน และ หันกลับมาสู่ความเมตตาของพระองค์
เราควรหาความรู้ ความศัทธา ให้มาก ไม่ฉะนั้น จะเป็นคนที่ขาดควมศัทธา หรือคนกาฟิตร์ (คนนอกศาสนา)
ลองมองๆสำรวจดูสิ สัญญาณย่ิอยมาครบรึยัง
ตอนนี้แผ่นดินไหวก็เกิดกันถี่และบ่อยๆแล้ว พายุก็แยะ ทั้งเหนือและใต้ และทั่วโลก พัดทีหอบไปทั้งคนทั้งบ้าน
มัสยิดสวยๆมากมาย ราคาหลายล้าน แต่คนละหมาด ไม่กี่คน คนโกหกมีแยะ ตามข่าวก็มีมากมาย ทะเลาะกัน แต่ไปถาม ก็ตอบคนละเรื่อง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เชื่อเขา ทั้งแดงทั้งเหลือง แพะรับบาปตอนนี้มีมากมาย ถูกใส่ความโยนความผิดให้ ซินาตอนนี้มีมาก ก็มาจากระบบแฟน ซินากลายเป็นเรื่องปกติ อยู่ก่อนแต่ง หรือผ่านข้ามคืนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถุงยางเป็นของหาง่ายในโรงเรียน
ถึงขั้นเด็กสาวๆบางคนสะสมแต้มว่าได้ชายมากี่คน เอดส์หยุดได้ ถ้าใช้หลักการอิสลาม
ดอกเบี้ยมีแยะ ทั้งในธนาคาร ประกันชีวิต วงแชร์ สุราอยู่ในอาหาร ในขนม ไวน์ต่างๆของกินมีมากมาย มัสยิดมีแต่เสียงดังเป็นเพลงของมือถือ คุยกันเสียงดัง ไม่เกรงใจว่านี่เป็นบ้านของอัลลอฮฺ ตอนนี้คนผมดำ ก็ด่าประณามคนผมสี ทั้งที่อิสลามสอนให้เด็กเคารพผู้ใหญ่ อ้างว่าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่คิดใช้วิทยาปัญญา.... บางคนตายไปแล้วถูกขุดมาประณามว่าผิด ทั้งที่ความผิดพลาดนั้น มีกันได้ แต่คนยุคใหม่ฟิตนะฮฺกันแม้กระทั่งคนตายไปแล้ว ความวุ่นวายมีทุกพื้นที่ ยิงที่นั้น ม็อบตรงนี้ ตบตีกันที่นู่น เด็กเดี๋ยวนี้ใช้เงินอย่างกับหาได้ง่ายๆมีเงินไม่สนแม้คนให้บริการต่างๆจะแก่แล้ว คนแก่หลายคนมาทำหน้าที่รับใช้เด็ก แล้วก็ยังทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา ไม่สนและไม่ได้ถูกสอนว่านี่คือเด็ก นี่คือผู้ใหญ่ อุตริกรรมในศาสนา ถูกบอกว่านี่คือสิ่งถูก ทำแล้วดี
ความอายไม่มีแล้ว กอดจูบกันในที่สาธารณะ บางคราในสวนสาธารณะ ในรถยนต์ ตามชายหาดมีชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กัน แตกต่างกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คน ตรงไหน ที่นึกจะทำอะไรก็ไม่ต้องเลือกสถานที่ หญิงแต่งกายประหยัดผ้า ปิดล่างปิดบนนิดหน่อย เกย์ กระเทย ทอมมี มากขึ้น เพราะมีแยะจนต้องยอมรับว่าตามใจเขาเถอะ ขอให้เป็นคนดี ดีอย่างไร มาตรฐานคนดีอยู่ตรงไหน?
บางคนละเมิดสิทธิผู้อื่น พอเรื่องแดง เข้าสู่ระบบกฎหมาย เงินอำนาจ พวกพ้องก็ช่วยกัน สุดท้ายผู้ถูกละเมิด ก็ถูกละเมิดร่ำไป เช่นสิทธิที่ดิน บุกรุกที่ ข่มขู่กว้านซื้อที่ดิน, หญิงถูกข่มขืน, แย่งมรดกจากผู้มีสิทธิ์ได้, ตำรวจเข้าระงับเหตุ ถูกยิงตาย สุดท้ายจับใครไม่ได้
กุรอานถูกอ่านประชันกันว่าใครจะอ่านได้เพราะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามในบัญญัติกุรอาน การนินทากลายเป็นรายการบันเทิง การนินทากลายเป็นเรื่องปกติ คนไม่นินทากลายเป็นคนไม่ปกติไป สาบานด้วยรูปปั้นจากมือคน ต้นไม้ผูกผ้าหลากสี มีเยอะแยะ การหย่ามีมาก เพราะแต่ละคนก็อดทนต่ำ นึกถึงตัวเองแต่ไม่นึกถึง อิสลามและลูกของตัว ความเลวร้าย เลวทรามมีทุกพื้นที่ ทุกวันนี้มนุษย์ใช้อารมณ์ มากกว่าเหตุและผล เรื่องของฉัน ตัวของฉัน ความสุขของฉัน แต่ไม่ได้คำนึงว่าขัดกับศาสนาไหม บุรุษมีทรัพย์ก็จะถูกปลดทรัพย์ง่าย ก็เพราะไปทำซินา มีมากมายตามข่าว แต่งงานเพื่อเอาทรัพย์สมบัติเขาก็มี
คนเดี๋ยวนี้ ตัดขาดญาติมิตร กลายเป็นคนไม่มีญาติ เพราะไม่ติดต่อสานสัมพันธ์ญาติพี่น้อง ใครจะเกิดมาแล้วมีแต่พ่อและแม่เล่า แล้วญาติของพ่อแม่ไปไหน ถ้าไม่สอนลูก ลูกก็ไม่เอา หรือไปอยู่สถานที่ห่างไกล ไม่ติดต่อญาติมิตรทั้งที่ปัจจุบันการติดต่อนั้นง่ายดาย คนละหมาดสมาธิหาย ตักบีรไปแล้วจำไม่ได้ว่าอ่านอะไรไป ละหมาดร็อกอัตไหน กลายเป็นมีแต่ท่าละหมาดต่อสมาธิเขาไม่มี
คนเดี๋ยวนี้แตกเป็น ก๊กเป็นเหล่า มุสลิมมีกลุ่มก้อนต่างๆมากมาย บางกลุ่มเชื่ออัลลอฮฺ แต่ไม่เชื่อถึงการมีไม่ยอมรับ หะดิษนบี บางกลุ่มเชื่ออัลลอฮฺ แต่ยกย่องคนอื่นด่าทอซอฮาบะฮฺ
เวลาเดี๋ยวนี้รวดเร็ว แป๊บๆหมดวัน แป๊บๆหมดเดือน หมดปี...
สมบัติแยะ คนโลภก็จะแต่งเพราะสมบัติ เศรษฐกิจฝืดเคือง มีทั้งปลดคนงาน ปิดโรงงาน ไม่จ่ายโบนัส และลดวันทำงานเพื่อรักษาบริษัท หรือล้มละลาย คนตกงานทั่วโลก เกียรตฺถูกลดลง คนที่มีเกียรติของมุสลิมคือคนที่สอนกุรอาน แต่กลายเป็นคนสอนกุรอานคือไร้เกียรติบนดุนยา มีการดูถูกเหยียดหยามกันมากมาย ปัจจุบันความรับผิดชอบจางหาย มอบหมายอะไรไปมักเงียบหาย หลงลืม เพราะไม่ใส่ใจ หรือทำอะไรก็ไร้ความรับผิดชอบ ผู้รับเหมาทิ้งงาน หรือมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ไร้คนมารับผิดชอบ บางคนถูกขอให้เปลี่ยนศาสนา เพราะถูกยื่นสัญญา ถ้ามารับหรือเปลี่ยนหนี้สินคุณจะหายไป หรือ ออกจากศาสนานี้เถอะเพราะมันทำให้คุณอยู่ในคุก ออกมาแล้วคุณจะได้เป็นอิสระ เราจะให้คุณด้วย..... อิสระทางชีวิต จะพาคุณไปเที่ยว รักพระเจ้าของเราไม่ต้องปฏิบัติอะไรมาก เพราะพระเจ้ารักคุณ
หัวใจมนุษย์แข็งกระด้าง ใจแข็ง แม้กระทั่งเงินไม่กี่บาท ของกินไม่กี่ชิ้น ยังไม่บริจาค ไม่แบ่งกับใคร ซะกาตกลับถูกอ้างว่ามันคือค่าแรง คนจะรับซะกาตก็ต้องทำงานให้กับคนจะให้ซะกาตเสียก่อน (โกงสิทธิเขา) ค่าจ้างต้องแยกต่างหาก อยู่ดีๆคนก็ตีกันถึงตาย ตัวอย่างง่ายๆ ก็เด็กช่างทั้งหลาย ที่ตีกัน ยิงกันจนตายเพียงแค่เห็นคนต่างสถาบัน ผู้มีความรู้ทางศาสนากลับคืนสู่พระองค์มากมาย หรือถูกต่อต้าน (การเมืองภายในชุมชน) คนไม่รู้ก็มาสอนศาสนาแทน เด็กที่เกิดจากการอยู่ก่อนแต่ง หรือลักลอบได้เสียกันมีมากมายแล้ว เด็กไม่ผิด คนผิดคือพ่อและแม่ของเด็ก แล้วก็มาจับแต่งขณะที่ยังท้องก็มากมาย คนปัจจุบัน เนรคุณผู้ให้กำเนิด ทิ้งพ่อแม่ ไม่ดูแล บางคนได้สมบัติก็ทิ้ง บางคนถึงขั้นฆ่าพ่อแม่ตายเพราะอารมณ์ก็มี สตรีออกมาทำหน้าที่แทนบุรุษก็มาก เช่น ผู้นำ ทำงานที่ชายทำ เด็กปัจจุบันไม่มีสัมมาคารวะ ผู้ใหญ่บางคนเกลียดเด็กๆ
Link ที่เกี่ยวข้อง
ตอน 1 :
http://picasaweb.google.com/islaminthailand49/103#5234664121793381058
ตอน 2 :
http://picasaweb.google.com/islaminthailand49/202#5237608719938969282
พี่น้องผู้ศรัทธาที่รัก พี่น้องผู้ศรัทธามั่นในวันกียามะห์ วันแห่งการตอบแทน
สืบเนื่องจาก มีการนำเสนอข่าวถึงกรณีกระแสที่มีบุคคลผู้หนึ่งได้ทายทัก และคาดไว้ว่า โลกกำลังจะเกิดความหายนะ หรือน้ำท่วมโลก ในไม่ช้านี้ อีก 3 ปี คือ ปี 2012 ซึ่งแน่นอนเป็นการสื่อในทำนองที่ว่า โลกนั้นกำลังจะแตก หรือหากเรียกตามความเข้าใจของพี่น้องมุสลิม ก็คือ เกิดกรณีวันสิ้นโลก(หรือวันกียามัตนั้นเอง)จนกระทั่งมีฝรั่งเอาไปทำเป็นภาพยนตร์ และกำลังได้รับการตอบรับจากคนมากมายทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งมุสลิมทั้งหลาย มุสลิมผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในหลักศรัทธามากที่สุด
พี่น้องครับ ความเชื่อดังที่กล่าวข้างต้น หากไปสืบเสาะที่มาแล้วก็จะพบว่า มันเป็นความเชื่อของชนเผ่ามายัน หรือ มายาน ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักศรัทธาอย่างชัดเจน
มีความจริงข้อหนึ่งที่เราต้องยอมรับครับพี่น้อง ว่าวันนี้มีพี่น้องมุสลิมเราบางคน ที่ขาดการเรียนรู้ ความเข้าใจในหลักการอิสลามโดยพื้นฐานในเรื่องสัญญาณวันสิ้นโลก หรือขาดความรู้ว่า อะไรคือเหตุการณ์ที่บ่งบอกถึงสัญญาณที่จะเกิดขึ้นก่อนที่วันสิ้นโลกจะมาถึง และจำนวนระยะห่างแต่ละสัญญาณเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น จะมีขึ้นกี่ ปีหรือเท่าใดนั้นเกิดความสับสน และความหวาดกลัว จึงนำมาซึ่งการฟอร์เวิดกระจายข่าว หรือการบอกเล่าต่อๆกันไปยังพี่น้องมุสลิมเราด้วยกัน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่า การทำนายทายทักข้างต้น มันขัดกับหลักการอิสลามโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น เกรงว่า พี่น้องจะเกิดความคลาดเคลื่อนในความเชื่อ ซึ่งจะมีผลต่อหลักการศรัทธาและทำให้อีหม่านเสื่อมไปจึงขอนำเสนอ หลักการและหลักฐาน ตามที่ศาสนาได้ระบุไว้ถึงกรณีข้างต้น มาอย่างพอสังเขปดังนี้
วาระ แห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»
ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)
ดังนั้นจากอายะห์ข้างต้นก็เป็นที่เพียงพอ และเป็นเครื่องยืนยันอยางชัดเจนว่า ไม่มีใคร หรือผู้ใด จะล่วงรู้วาระของวันกียามะห์ เว้นแต่พระองค์อัลลอฮฺ เพียงผู้เดียว
พี่น้องผู้ศรัทธาในวันแห่งการตอบแทนทั้งหลาย วันกียามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่า สัญญาณต่างๆที่ได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอ่านและหะดิษของท่านรอซุล (ซ.ล.)ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่
โดยสัญญาณย่อยนั้นได้แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบี(ซ.ล.) ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ
รายงานจากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »
ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)
2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระส่าย (ฟิตนะฮฺ) มี การแอบอ้างการเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชั้นชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีผู้พูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือ แต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน )จะ ถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว
จาก อิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า
«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »
ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (บันทึกโดย บุคอรี และมุสลิม)
และสัญญาณใหญ่ของการเกิดวันกียามะห์นั้น มีรายงาน จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»
ความ ว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ
โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)
ปรัชญาของอิลลูมินาติ(หรือลัทธิบูชาซาตาน)เกี่ยวกับวันสิ้นโลกคือ ‘การต่อสู้ดิ้นรนให้อยู่รอด’ กล่าวคืออิลลูมินาติไม่ได้เชื่อเหมือนศาสนาอิสลามและคริสต์ว่าวันสิ้นโลกคือวันสูญสลายของโลกภพปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดจะเหลืออยู่ ซึ่งเป็นการเริ่มของวันพิพากษา แต่สำหรับ อิลลูมินาตินั้นกลัวโลกหน้า กลัวที่จะกลับไปเผชิญกับการถูกพิพากษา ฉะนั้นพวกเขาจึงหลอกตัวเองว่าวันสิ้นโลกหมายถึงการที่โลกเกิดภัยพิบัติรุนแรงถึงขั้นล้างโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมนุษย์กลุ่มหนึ่งจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ สามารถหนีอำนาจของพระเจ้าได้ด้วยกับการพัฒนาความสามารถทางด้านเทคโนโลยี
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นภาพยนตร์บางเรื่องที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการสิ้นโลก เช่นดาวพุ่งชนโลกบ้าง น้ำท่วมโลกบ้าง แต่แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอดขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป เดิมทีพวกเขาเคยปั่นหัวให้ชาวโลกตื่นตระหนกกับปี 2000 โดยเฉพาะชาวคริสต์ที่มักเชื่ออะไรตามคำร่ำลือก็หลงเชื่อไปตามๆกันว่าโลกจะแตก ถึงตอนนี้ ปี 2012 ปีสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกของอิลลูมินาติ พวกเขาได้นำตัวเลขนี้มาปั่นหัวให้ชาวโลกส่วนหนึ่งตื่นตระหนกอีกครั้งกับข่าวลือที่ว่าดาวจะพุ่งชนโลก บ้างก็ว่าจะทำให้โลกหยุดหมุนชั่วขณะ แล้วจากนั้นจะหมุนกลับทิศ กลายเป็นว่าทำให้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป
เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่าบอกว่าเรื่องโลกแตกปี 2012 โดยทางดาราศาสตร์แล้วถือเป็นแค่ “ข่าวลือ” เท่านั้น โดยที่ดร.มอร์ริสันระบุว่าเป็นอาการ “วิตกจักรวาล”(cosmophobia)ที่เอาไว้หลอกลวงผู้คนที่ไม่รู้
สำหรับศาสนาอิสลามแล้วสามารถให้คำตอบได้เลยว่าเรื่องขี้โม้เรื่องโลกแตกปี 2012 หรือ โลกหมุนกลับทิศนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะกรณีเดียวที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกได้ก็คือวันสุดท้ายของมนุษย์และสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ และการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกในที่นี้ ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมชาติ คือเป็นปาฏิหาริย์สุดท้ายที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเย้ยผู้ปฏิเสธศรัทธา (หรือพวกบูชาวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย) ที่ในขณะนั้นปฏิเสธสิ่งเร้นลับ ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธสิ่งเหนือธรรมชาติโดยเฉพาะเรื่องนี้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่ถึงตอนนั้นเมื่อยอมรับความจริงมันก็สายไปเสียแล้ว
ถึงแม้จะไม่มีใครรู้เวลาของวันสิ้นโลก แต่เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรือวันศุกร์นี้ หรือปีหน้า เพราะสัญญาณใหญ่หลักๆนั้นยังไม่เกิดขึ้น นั่นก็คือการมาของบุคคลที่โลกรอคอย นั่นคืออิหม่ามมะฮดีย์, นบีอีซา (เยซู), และดัจญาล ตลอดจน Gog – Magog หรือยะอญูจญ์- มะอญูจญ์ บุคคลมหัศจรรย์เหล่านี้ต้องมาเสียก่อน จากนั้นจึงจะไม่สามารถพูดได้อีกแล้วว่าวันสิ้นโลกจะยังไม่เกิด
สำหรับมุสลิมที่มีหลักศรัทธา (อากีดะฮฺ) คลาดเคลื่อนต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า สัญญาณวันสิ้นโลกเหล่านี้ไม่ใช่อุปมา สิ่งใดในศาสนาที่เป็นการอุปมาเราก็สามารถเข้าใจได้ง่ายว่ามันคืออุปมา แต่สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ มีตัวบทหลักฐานที่ขยายรายละเอียดโดยชัดเจน ไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้ เช่นเดียวกับวันสิ้นโลก ก็ไม่ใช่อุปมา และเรื่องดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างที่หลายคนพยายามให้เป็น
ดังนั้นจึงและอยากฝากเตือนถึงกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทำนายทายทัก ถึงวันเวลาของการเกิดวันกียามะห์ข้างต้นนั้น หากเราหรือมีสักคนในพี่น้องของเรา กำลังหลงกับความเชื่อเหล่านั้น
ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวไว้ซึ่งมีใจความว่า “การนมาซ(นมัสการ)ของผู้ที่ไปหาหมอเวทมนต์ เพื่อขออะไรบางอย่างและเชื่อในสิ่งที่หมอเวทมนต์บอกจะไม่ถูกรับเป็นเวลา 40 วัน (บันทึกโดยมุสลิม)
และหากว่ามีบางคนในหมู่พวกเราเชื่อในคำทำนายดังกล่าวโดย ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวไว้ซึ่งมีใจความว่า "บุคคลใดที่มาหาหมอดูแล้วเชื่อในสิ่งที่หมดดูกล่าวไว้ นั่นเท่ากับว่าเขาปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่นบีมุหัมมัดแล้ว (หมายถึงคัมภีร์อัลกุรฺอาน)" (บันทึกโดยบัรฺซารฺ)
นาอูซุบิลลาฮฺ มิน ซาลิก โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงเราศรัทธาในพระองค์ เชื่อมั่นในพระองค์ และไม่มีการภาคีใดๆต่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงสกัดกั้น ความเชื่อที่หลงผิด และตั่งมั้นให้หัวใจของเราอยู่บนทางนำของพระองค์ตลอดไป
بَارَكَ اللهُ لِى وَلَكُمْ فِى الْقُرْآنِ الْعَظِيْمِ وَنَفَعَنِى وَإِيَّاكُمْ بِمَا فِيْهِ مِنَ الآيَاتِوَالذِّكْرِالْحَكِيْمِ
وَتقَبَّلَ مِنِّى وَمِنْكُمْ تِلاَوَتَهُ إِنَّهُ هُوَ السَّمِيْعُ الْعَلِيْمُ. وَأَسْتَغْفِرُ اللهَ لِى وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ وَالْمُؤْمِنِيْنَ وَالْمُؤمِنَات مِنْ كُلِّ ذَنْبٍ فاسْتَغْفِرُوه إِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ الرَّحِيْمُ
ding_iumv:
คุตบะห์ที่สอง
الحمد الله نحمده ونستعينه ونستغفره ونتوب إليه ونعوذ بالله من شرور أنفسنا ومن سيئات أعمالنا من يهده الله فلا مضل له ومن يضلل فلا هادي له وأشهد أن لا إله إلا الله وحده لا شريك له وأشهد أن سيدنا محمداً عبده ورسوله . اللهم صل وسلم على سيدنا محمد وعلى آله حبه أجمعين .أما بعد عباد الله أوصيكم ونفسي أولاً بتقوى الله فقال الله تعالى
لَسْأَلُ أَيَّانَ يَوْمُ الْقِيَامَةِ • فَإِذَا بَرِقَ الْبَصَرُ • وَخَسَفَ الْقَمَرُ • وَجُمِعَ الشَّمْسُ وَالْقَمَرُ • يَقُولُ الإِنسَانُ يَوْمَئِذٍ أَيْنَ الْمَفَرُّ • كَلاَّ لا وَزَرَ إِلَى رَبِّكَ يَوْمَئِ الْمُسْتَقَرُّ • يُنَبَّأُ الإِنسَانُ يَوْمَئِذٍ بِمَا قَدَّمَ وَأَخَّرَ • بَلِ الإِنسَانُ عَلَى نَفْسِهِ بَصِيرَةٌ • وَلَوْ أَلْقَى مَعَاذِيرَهُ
เขา(มนุษย์)ถามว่า เมื่อใดเล่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพ (จะเกิดขึ้น)•แต่เมื่อสายตามืดมัว •และเมื่อดวงจันทร์ถูกบดบังอยู่ในความมืด •และเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถูกนำมารวมกัน •วันนั้นมนุษย์จะกล่าวขึ้นว่าไหนเล่าทางหนี ? • เปล่าเลย ! ไม่มีที่พึ่งพิงดอก •ในวันนั้น ยังพระเจ้าของเจ้าเท่านั้น คือที่พักอันสงบสุข • วันนั้นมนุษย์จะถูกแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่ได้กระทำไว้ล่วงหน้าและภายหลัง • เปล่าเลย ! มนุษย์นั้นเป็นพยานต่อตัวของเขาเอง • ถึงแม้ว่าเขาจะเสนอข้อแก้ตัวของเขาก็ตาม ซูเราะห์กียามะห์ 6-15
พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน วันกียามะห์หรือวันสิ้นโลกจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เราคงไม่มีใครปฎิเสธเรื่องนี้ หากแต่ว่าวันนี้ลัทธิบูชาวิทยาศาสตร์กำลังปั่นหัวผู้คนทั้งโลกให้สับสนวุ่นวายในเรื่องนี้ พี่น้องครับ พวกเขากำลังเตรียมตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบิติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพียงเพื่อว่าพวกเขาต้องการจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังคงดำรงอยู่ต่อไปหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น
แต่สำหรับมุสลิมแล้ว เราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่เป็นเสมือนสัญญาณหนึ่งของวันกียามะห์ แต่มากกว่าและสำคัญยิ่งกว่า เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับชีวิต หลังจากวันสิ้นโลกด้วย
|
ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก
|